วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Assignment#4 - สายสัญญาณ


คำถาม? ให้นักเรียนทำการพิจารณาจากเงื่อนไขต่อไปนี้ พร้อมให้เหตุผลประกอบว่าเหตุใดควรเลือกใช้การเชื่อมต่อแบบใยแก้วนำแสง หรือ แบบสายทองแดง

1. ต้องการความเร็วในการเชื่อมต่อเครือข่ายสำหรับเครื่องDesktop
ตอบ ควรเลือกใช้การเชื่อมต่อแบบสายทองแดง เพราะ สายทองแดงมีความยืดหยุ่น สามารถปรับสภาพให้โค้งงอตามความเหมาะสมของพื้นที่ได้ง่าย มีการติดตั้งไม่ยุ่งยาก และราคาถูก โดยประเภทของสายทองแดงที่ควรใช้คือ สายทองแดงแบบ UTP ซึ่งเป็นสายเส้นเล็กจำนวน 8 เส้นตีเกลียวคู่ มีอยู่ 4 คู่ ที่ไม่มีเส้นลวดถัก (shield) เนื่องจากการตีเกลียวคู่เป็นการลดสัญญาณรบกวนอยู่แล้ว สายทองแดงแบบ UTP มีความเร็วในการเชื่อมต่อและรับ-ส่งข้อมูล 10/100Mbps ซึ่งเพียงพอกับความต้องการในการเชื่อมต่อเครือข่ายสำหรับเครื่องDesktop โดยการเชื่อมต่อเครือข่ายจะต้องมีการแค๊มหัว RJ-45 เข้ากับสาย UTP แล้วนำไปเสียบเข้ากับ Hub

2. ต้องการให้ประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อระหว่างวงแลนมีความเร็วสูง
ตอบ ควรเลือกใช้การเชื่อมต่อแบบใยแก้วนำแสง เพราะ เส้นใยแก้วนำแสง เป็นสายที่ใช้คลื่นแสง 500 nM-1300nM ส่งผ่านไปยังตัวกลางใยแก้ว ซึ่งจะสะท้อนกลับภายใน ทำให้มีการสูญเสียของสัญญาณน้อยมาก ทำให้สามารถส่งสัญญาณไปได้ในระยะทางที่ไกลขึ้น ใช้กำลังส่งที่น้อยลงและมีสัญญาณรบกวนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับสายนำสัญญาณชนิดอื่นๆ สายชนิดเส้นใยแก้วนำแสงนี้มักใช้เป็นBackboneโดยจะรองรับการสื่อสารได้สูงถึง 800 Mbps หรือมากกว่า แล้วแต่ล่ะชนิดที่นำมาใช้ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างสายยูทีพีกับใยแก้วนำแสงจะพบว่า สายยูทีพีแบบแคต 5 รองรับความเร็วสัญญาณได้ 100 เมกะบิตต่อวินาที และมีข้อจำกัดในเรื่องความยาวเพียง 100 เมตร ขณะที่เส้นใยแก้วนำแสงรองรับความถี่สัญญาณได้หลายร้อยเมกะเฮิรตซ์ และยังใช้ได้กับความยาวถึง 2000 เมตร ดังนั้นจึงนิยมใช้เส้นใยแก้วนำแสงเมื่อต้องการประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อระหว่างวงแลนให้มีความเร็วสูง

3. ระยะทางที่สายสัญญาณเดินทางผ่านต้องผ่านเครื่องกำเนิดพลังงานไฟฟ้า
ตอบ ควรเลือกใช้การเชื่อมต่อแบบใยแก้วนำแสง เพราะ สายสัญญาณแบบใยแก้วนำแสงสามารถป้องกันการรบกวนจากสัญญาณไฟฟ้าได้สูง ดังนั้นสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้า (Electrical Noise) ซึ่งเกิดจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า จึงไม่มีผลกระทบต่อการรับส่งข้อมูลของสายสัญญาณประเภทนี้ เป็นผลให้การเชื่อมต่ออุปกรณ์ด้วยสายใยแก้วนำแสงสามารถถูกใช้ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย เช่น ภายในช่องลิฟต์ หรือ พื้นที่ที่มีแรงดันไฟฟ้าสูง เช่น โรงงานประกอบชิ้นส่วนที่มีมอเตอร์ขนาดใหญ่ที่สร้างสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้าปริมาณมาก ในขณะที่ปัญหาสำคัญของสายสัญญาณแบบทองแดงคือการเหนี่ยวนำโดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า นอกจากนี้ สายสัญญาณแบบใยแก้วนำแสงยังเป็นฉนวนทั้งหมด จึงไม่นำกระแสไฟฟ้า ทำให้ไม่เกิดการลัดวงจร หรืออันตรายจากกระแสไฟฟ้าเมื่อสายสัญญาณเดินทางผ่านต้องผ่านเครื่องกำเนิดพลังงานไฟฟ้า 


4. ต้องการระบบที่ง่ายต่อการตรวจสอบและซ่อมบำรุงกรณีเกิดปัญหาการเชื่อมต่อ
ตอบ ควรเลือกใช้การเชื่อมต่อแบบสายทองแดง เพราะ สายทองแดงนิยมใช้กันโดยทั่วไปเนื่องจากสายสัญญาณมีราคาถูก รวมถึงค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและซ่อมแซมก็ถูกด้วย และยังสามารถทำงานร่วมกับระบบการเชื่อมต่อแบบดั้งเดิมโดยไม่ต้องมีการปรับแต่งเพิ่มเติมมากนัก ในขณะที่การติดตั้งและการตรวจสอบความผิดปกติของสายสัญญาณแบบใยแก้วนำแสงทำได้ยากกว่า ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ และอุปกรณ์ประกอบก็มีราคาสูงด้วย

5. รองรับการเพิ่มจุดการเชื่อมต่อสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ notebook เพิ่มเติมอย่างน้อย4เครื่อง
ตอบ ควรเลือกใช้การเชื่อมต่อแบบสายทองแดง เพราะ เป็นสายสัญญาณที่นิยมใช้ในระบบเครือข่ายมากที่สุด โดยสามารถควบคุมจุดการเชื่อมต่อและการแพร่กระจายของข้อมูลได้ดี ติดตั้งง่ายและสะดวกในการเพิ่มจุดเชื่อมต่อได้มากกว่าการเชื่อมต่อแบบใช้ใยแก้วนำแสง



น.ส. สโรชา  สุขุมวิราม  รหัสนักศึกษา 53040757
สาขาเทคโนโลยีการจัดการ  วิทยาลัยการบริหารและจัดการ
ชั้นปีที่3  กลุ่มที่2

วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Assignment#3



การใช้งานอินเทอร์เน็ตให้ปลอดภัย  ได้แก่

1. การตั้งกระทู้ หรือ การตอบกระทู้ ควรใช้คำที่สุภาพ และไม่สร้างความเดือดร้อน ให้กับผู้อื่น เช่น ที่ www.pantip.com  เป็นต้น
2. ไม่ควรให้ Account อินเทอร์เน็ตกับบุคคลอื่นไปใช้งานและควรเปลี่ยน password อย่างน้อย 1 เดือน การตั้ง password ใหม่ ควรตั้งไม่ต่ำกว่า 7-8 ตัวโดยใช้ ตัวเลขผสมตัวอักษร เช่น 255wcit1 ถ้าในกรณีที่รู้ว่า Account ตนเองมีปัญหา ในการใช้งาน ให้ติดต่อศูนย์คอมพิวเตอร์ทันที

3. ระวังการจ่ายเงินสั่งซื้อสินค้าผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เพราะอาจจะมีผู้อื่น คอยดักจับเลขที่บัตรเครดิตเรา ในการใช้งานได้ ดังนั้นควรตรวจสอบ ระบบความปลอดภัยของเว็บไซต์นั้นๆ ว่ามีระบบความปลอดถัยหรือไม่ ก่อนทำการสั่งซื้อ
(ตลาดซื้อขายออนไลน์ - ebaY)

4. ควรทำการตรวจสอบระบบความปลอดภัยของซอฟต์แวร์ที่ใช้งานอินเทอร์เน็ต เช่น Windows Internet Explorer และ Outlook Express เป็นต้น จากเว็บไซต์ http://www.microsoft.com

5. ทำการติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสบนเครื่องคอมพิวเตอร์ อย่างน้อย 1 โปรแกรม
(โปรแกรมป้องกันไวรัสที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ)

6. ไม่ควร Download โปรแกรมจากเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ

7. ไม่ควรรับโปรแกรม หรือเปิดไฟล์ต่าง ๆ จากบุคคลอื่นที่ไม่รู้จักผ่านการใช้งานโปรแกรม MSN, IRC, Pirch และ e-Mail เป็นต้น และปัจจุบันเพิ่มเติมอีกนิดนึงว่าไม่ควรรับไฟล์ใด ๆ แม้จากคนที่เรารู้จักหากไม่ได้รับการยืนยันจากผู้ส่งว่าได้ส่งไฟล์มา เพราะปัจจุบันมีไวรัสหรือมัลแวร์ที่สามารถปลอมตัว หรือใช้โปรแกรมของผู้ส่งไปยังผู้รับได้ เมื่อรับมาก็คือการรับไวรัสเข้ามายังเครื่องนั่นเอง

8. ไม่ควรนำ E-mail ของตนเองไปลงทะเบียนตามเว็บไซต์ต่าง ๆ เพราะจะทำให้ได้รับจดหมายขยะ จากเว็บไซต์โฆษณาสินค้า หรือเว็บไซต์ที่มีไวรัส

9. ถ้าต้องการความปลอดภัยสูงขึ้นในการใช้งานอินเทอร์เน็ต สามารถติดตั้งโปรแกรม Personal Firewall บนเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อป้องกันผู้บุกรุกจากภายนอกเข้าสู่เครื่องผู้ใช้

(Software Firewall)





การเปรียบเทียบอิทธิพลของ Social media กับ Traditional media ในยุคปัจจุบัน

Social Media
เป็นการสื่อสารส่งข้อมูลข่าวสารในรูปแบบใหม่ที่มีการสื่อสารผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งสามารถสื่อสารได้ 2 ทาง (Two-way Communication)
ตัวอย่าง : E-mail  Facebook/Fanpage  Website  Banner  Youtube
ข้อดี : สามารถกระจายผู้รับสื่อได้อย่างรวดเร็วจึงประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย
ข้อเสีย : มีข้อจำกัดในเรื่องของเครื่องรับสาร เช่น คอมพิวเตอร์ โดยต้องมีความรู้ในการใช้ด้วย เข้าถึงเป้าหมายได้เฉพาะกลุ่ม
(Social Media)

Traditional media
เป็นการสื่อสารส่งข้อมูลในรูปแบบเดิมที่ไม่ผ่านระบบอินเตอร์เน็ท ซึ่งเป็นการสื่อสารทางเดียว (One-way Communication)
ตัวอย่าง : โทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ ป้ายโฆษณา
ข้อดี สามารถกระจายข้อมูลในกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างและสะดวกต่อการเข้าถึงในพื้นที่ทีมีข้อจำกัดในการรับสื่อรูปแบบใหม่
ข้อเสีย มีต้นทุนสูง ล้าสมัย ล่าช้าและผู้รับสื่อไม่สามารถโต้ตอบกลับได้


(Traditional media)

ในปัจจุบัน  Socail media เข้ามามีอิทธิพลต่อมนุษย์มากยิ่งขึ้น เพราะในยุคนี้ผู้คนส่วนใหญ่ต่างมีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตใช้กันทุกบ้าน social media มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของเราในทุกๆวัน เช่น 
- การตื่นเช้ามาอย่างแรกที่จะทำคือการเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเช็ค facebook หรือข่าวสารต่างๆ
- การโฆษณาทาง social media มีอัตราการเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ
- หนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับในประเทศไทย ให้บริการ News Content และมีเนื้อที่สำหรับการโฆษณาออนไลน์ด้วย หรือจะอ่านหนังสือพิมพ์แบบ e-Newspaper ได้โดยผ่าน Digital Device ต่างๆ
-โทรทัศน์ก็สามารุถเข้าไปชมรายการย้อนหลังได้จากเว็บไซต์ช่องต่างๆ เราสามารถเลือกดูรายการที่เราพลาดชม หรือเลือกดูรายการโปรดได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะพลาดตอนจบของดอกส้มสีทอง
-วิทยุก็กลายเป็นโทรทัศน์หรือเป็นเคเบิลทีวี เราสามารุฟังรายการวิทยุจากเว็บไซต์ หรือชมผ่านโทรทัศน์ก็ได้ ในขณะเดียวกันโทรทัศน์เองก็รายงานข่าวทั้งโทรทัศน์เองด้วยและก็ออกอากาศทางวิทยุ รวมถึงสามารถชมรายการสดๆทางอินเทอร์เน็ตได้อีกด้วย

จากตัวอย่างต่างๆพบว่า อัตราการเติบโตใน Social Media มีสูงกว่าสื่อ Traditional Media

(Social media optimization)



Weblog มีประโยชน์อย่างไรกับแวดวงธุรกิจในปัจจุบัน
Weblog เป็นหน้าเว็บประเภทหนึ่ง ซึ่งคำว่า blog ย่อมาจากคำว่า weblog หรือ web log โดยคำว่า weblog นั้นมาจาก web (www) และ log (บันทึก) รวมกัน หมายถึง บันทึกบนเวิล์ดไวด์เว็บ  ขณะนี้มีผู้ให้บริการบล็อกมากมาย ทั้งแบบให้บริการฟรี และเสียค่าใช้จ่าย

ปัจจุบันนี้ บริษัทชั้นนำต่างๆ ของโลก ได้หันมาจับตามอง Blog ซึ่งเป็นรูปแบบของการ Marketing แบบใหม่ เนื่องจาก Blogger จะมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้อ่าน Blog สูงมาก เนื่องจากทั้งสองสามารถโต้ตอบกันได้โดยตรง

 การที่ใช้ Blog มาเป็นเครื่องมือทางการตลาดนั้น อาจเรียกได้ว่าเป็น Buzz Marketing บางบริษัทอาจเลือกเจ้าของ Blog ให้เป็น presenter ให้กับผลิตภัณฑ์ของตนเอง เช่นเสนอสินค้า ให้เจ้าของ Blog นำไปเขียนวิจารณ์หรือเขียนถึงใน Blog ของตน เป็นต้น

 บางบริษัทใช้ Blog เพื่อเป็นเครื่องมือสื่อสาร หรือ PR ข่าวสารขององค์กร โดยการใช้ Blog เพื่อประกาศข่าวสารนั้น จะดูมีความเป็นกันเองและเข้าถึงลูกค้าได้อย่างเป็นมิตร เพราะเนื่องจากลูกค้าสามารถกาก comment หรือสื่อสารกับเจ้าของ Blog ได้ทันที ทำให้บริษัทเอง จะได้ประโยชน์จากคำแนะนำที่ตรงไปตรงมาของลูกค้าอีกด้วย บริษัทชั้นนำต่างเลือกที่จะใช้ Blog มาเป็นเครื่องมือทางการตลาดกันแล้ว โดยบางแห่งใช้ทั้ง Blog อย่างเป็นทางการของบริษัท แถมยังเปิดให้พนักงานได้เขียน Blog ของตนเองอีกด้วย โดยวิธีการนี้นับเป็นการทำการตลาดโดยการสร้างการรับรู้ตราสินค้า (Brand) โดยทางอ้อมอีกด้วย

นอกเหนือจากองค์กรธุรกิจแล้ว บุคคลที่ทำงานคนเดียวหรือเป็นกลุ่ม สามารถใช้ Blog เพื่อเป็นการเผยแพร่ผลงาน หรือขายสินค้าของตนได้อีกด้วยเช่น ช่างภาพ, ศิลปิน, นักออกแบบ, นักเขียน, นักวาดการ์ตูน, ร้านค้า, ฯลฯ
(เว็บ Weblog ต่างๆ)


Google Apps คืออะไร มีประโยชน์และการใช้งานอย่างไร


Google Apps คืออะไร
Google Apps คือ แอปพลิเคชันที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดย Google เพื่อให้บริการทางด้านการบริหารจัดการภายในองค์กร ซึ่งได้มีการรวมแอปพลิเคชัน ต่างๆ ที่ถือว่ามีความจำเป็นต่อองค์กรในปัจจุบันอันได้แก่ Gmail, Google Talk, Google Calendar, Google Documents เป็นต้น
ทั้งนี้เราสามารถใช้บริการดังกล่าวได้ฟรี ซึ่งการติดตั้ง Google Apps เพื่อให้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพ ทำได้โดยการ configure MX Record พร้อมทั้ง CNAME ของ DNS server ทั้ง บน Windows และ Linux ทำให้ บริษัทหรือองค์กรต่างๆ สามารถใช้ email ในรูปแบบโดเมนของท่านเองได้ ผ่านระบบ Gmail server ซึ่งให้พื้นที่เก็บอีเมล์สูงถึง 7 GB ต่อ account และที่สำคัญไปกว่านั้น Google Apps ยังมีการจัดการเกี่ยวกับ Spam mail และ ไวรัส ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
(Google Apps)


ประโยชน์ของ Google Apps
1. การประหยัดค่าใช้จ่ายที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว
แอปพลิเคชันการส่งข้อความและการทำงานร่วมกันที่ทำงานแบบเว็บของ Google ไม่จำเป็นต้องใช้ฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ และต้องการการดูแลระบบน้อยที่สุด สร้างเวลาเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย และประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับธุรกิจ


2. พื้นที่เก็บข้อมูลมากกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม 50 เท่า
แต่ละรายจะมีพื้นที่เก็บข้อมูลอีเมล์ขนาด 25 กิกะไบต์ ดังนั้นจึงสามารถเก็บข้อมูลสำคัญและค้นหาได้ทันทีด้วยการค้นหาของ Google ที่มีอยู่ภายในระบบ
Gmail ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้สามารถลดเวลาในการจัดการกับกล่องจดหมายของตน และเพิ่มเวลาในการทำงาน คุณลักษณะที่ช่วยประหยัดเวลา ดังเช่น สายข้อมูลของข้อความ ป้ายกำกับข้อความ การค้นหาข้อความอย่างรวดเร็ว และการกรองสแปมที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้สามารถทำงานกับอีเมล์ปริมาณมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ


3. การเข้าถึงอีเมล ปฏิทิน และ IM บนโทรศัพท์มือถือ
        ด้วยการใช้ตัวเลือกมากมายสำหรับการเข้าถึงข้อมูลขณะเดินทาง พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย Google Apps แม้ว่าจะไม่อยู่ที่โต๊ะทำงานก็ตาม
      Google Apps สนับสนุนการเข้าถึงโทรศัพท์มือถือแบบไร้สายในอุปกรณ์ BlackBerry, iPhone, Windows Mobile, Android และโทรศัพท์หลายประเภทที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่า โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม

4. รับประกันความน่าเชื่อถือของความพร้อมในการทำงาน 99.9%
       รับประกันว่า Google Apps จะมีความพร้อมในการทำงานอย่างน้อย 99.9% ดังนั้นพนักงานของคุณจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้มากขึ้น และจะกังวลใจน้อยลงเกี่ยวกับการหยุดทำงานของระบบ
       การจำลองข้อมูลแบบซิงโครนัส ทำให้ข้อมูลและกิจกรรมของคุณใน Gmail, Google ปฏิทิน, Google เอกสารและ Google Sites มีการเก็บรักษาไว้ในเวลาเดียวกันในศูนย์ข้อมูลที่มีความปลอดภัยหลายแห่ง

5. ความปลอดภัยของข้อมูลและเป็นไปตามข้อกำหนด
       ทีมงานรักษาความปลอดภัยข้อมูลของ Google ซึ่งประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญชั้นนำของโลกในด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูล แอปพลิเคชัน และเครือข่าย มุ่งเน้นที่จะรักษาข้อมูลของคุณให้ปลอดภัย Google และลูกค้าอื่นๆ จำนวนมากวางใจใช้ระบบนี้กับข้อมูลบริษัทที่มีความสำคัญสูง   

6. การควบคุมการดูแลระบบและข้อมูลแบบสมบูรณ์
       ผู้ดูแลระบบสามารถปรับแต่ง Google Apps ในเชิงลึกเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านเทคนิค ตราสินค้า และธุรกิจของตนได้ ตัวเลือกการผสานรวมจะช่วยให้คุณสามารถเชื่อมต่อ Google Apps กับโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่มีอยู่ของคุณ

7. การสนับสนุนลูกค้าทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงที่เป็นประโยชน์
       ได้แก่ การสนับสนุนทางโทรศัพท์สำหรับปัญหาร้ายแรง การสนับสนุนทางอีเมล์ หรือ การสนับสนุนทางออนไลน์สำหรับการบริการตนเอง



การใช้งาน Google Apps

Gmail    
  • เพื่อรับส่งข้อมูลข่าวสารระหว่างเพื่อนร่วมงาน หรือลูกค้า
  • เพื่อใช้ข้อมูลย้อนหลังจากการสนทนา ฝากข้อความ หรือ voice mail จากโปรแกรม google talk

หมายเหตุ : บริการนี้ต้อง sign in เข้า gmail.com หรือ domain ที่องค์กรเตรียมไว้ให้


Google Talk       
  • เพื่อรับส่งข้อมูลแบบ real time ที่สื่อสารได้ทั้งข้อความ และเสียง รวมถึงการรับส่งแฟ้มข้อมูล
  • เพื่อแสดงสถานะการใช้งาน ณ ปัจจุบัน แสดงสถานะอีเมล และติดต่อสื่อสารได้ทันที

หมายเหตุ : บริการนี้ต้องติดตั้งโปรแกรม จึงจะใช้งานได้อย่างสะดวก


Google Documents        
  • เพื่อใช้งานโปรแกรมจัดการเอกสารแบบออนไลน์ โดยไม่ต้องซื้อหา และใช้งานได้จากทุกที่
  • เพื่อใช้งานเอกสารร่วมกันกับเพื่อนร่วมงาน เช่นการแก้ไขเอกสารร่วมกัน หรือ presentation ผ่าน Lan ในห้องปฏิบัติการ

หมายเหตุ : ระบบนี้ไม่เปิดให้คนทั่วไป เปิดให้เฉพาะเพื่อนในกลุ่มเท่านั้น



Google Calendar             
  • เพื่อนำเสนอ หรือบันทึกกิจกรรม แผนงานที่จะทำในแต่ละวัน
  • เพื่อใช้แสดงกิจกรรมร่วมกับเพื่อนร่วมงาน ทำให้สะดวกในการตรวจสอบนัดหมาย

เช่น http://www.google.com/calendar/embed?src=gthaiall%40gmail.com&ctz=Asia/Bangkok




Sites     
  • เพื่อการนำเสนอเว็บเพจที่ใช้งานได้ง่าย นำเสนอแฟ้มข้อมูลประกอบเว็บเพจ
  • เพื่อการจัดทำระบบเก็บเอกสารที่เป็นระบบ และใช้งานร่วมกับเพื่อนได้

เช่น http://sites.google.com/site/yonokoit/



เพิ่มเติม วิธีการใช้งาน Google Apps ต่างๆ สามารถเข้าไปดูลิงค์ด้านล่าง :




Cloud Computing คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรกับธุรกิจในปัจจุบัน

Cloud Computing คืออะไร
Cloud Computing หรือ กลุ่มเมฆคอมพิวเตอร์นั้น เป็นแนวคิดด้านบริการที่เชื่อมโยงกันโดยคอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่ทำงานร่วมกัน ซึ่งอาจตั้งอยู่ในห้องเดียวกันหรือคนละที่ก็ได้ โดยระบบจะทำงานประสานกันแบบรวมศูนย์ คือผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องสนใจเลยว่าระบบนั้นมีการทำงานอย่างไร และประกอบไปด้วยทรัพยากร (resource) อะไรบ้าง แต่ผู้ใช้แค่ระบุความต้องการ (requirement) ไปยังซอฟต์แวร์ของระบบ Cloud Computing (ซอฟต์แวร์จะร้องขอให้ระบบจัดสรรทรัพยากรและบริการให้ตรงกับความต้องการผู้ใช้ โดยระบบสามารถเพิ่มและลดจำนวนของทรัพยากรรวมถึงเสนอบริการให้พอเหมาะกับความต้องการของผู้ใช้ได้ตลอดเวลา) และหลังจากนั้นบริการ (service) ก็จะให้ผลลัพธ์แก่ผู้ใช้ ส่วนบริการจะไปจัดการกับทรัพยากรอย่างไรนั้นผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องสนใจ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ผู้ใช้นั้นจะมองเห็นเพียงบริการซึ่งทำหน้าที่เสมือนซอฟต์แวร์ที่ทำงานตามความต้องการของผู้ใช้ โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทราบถึงทรัพยากรที่แท้จริงว่ามีอะไรบ้างและถูกจัดการเช่นไร หรือถูกเก็บอยู่ที่ไหน

หรือถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ Cloud นั้นเปรียบเสมือนก้อนเมฆที่มีรูปร่าง ขนาด และมีที่อยู่ ที่ไม่แน่นอน ดังนั้น พวก Server, Storage หรือ CPU ก็เปรียบเป็นก้อนเมฆก้อนหนึ่งที่เราจะรู้แค่ว่ามันมี และเห็นว่ามีมากพอที่จะทำอะไรได้ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องรู้ว่ามีก้อนเมฆมากแค่ไหน ไม่ต้องรู้ว่ามันไปอยู่ที่ไหน ซึ่งนี่ก็คือการทำ Cloud Computing เช่น ถ้าวันนี้ศูนย์ Cloud ในประเทศไทยล่ม อาจจะมีการย้ายงานไปที่อีกศูนย์นึงให้ทำงานแทน โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องอะไร แค่เปิดมาดูแล้วพบว่าโปรแกรมล่มไป แต่พอเปิดขึ้นมาใหม่ก็ใช้ได้แล้ว เป็นต้น

(Cloud computing logical diagram)


ประโยชน์ของ Cloud Computing กับธุรกิจในปัจจุบัน 
1. ทรัพยากรไอทีถูกใช้อย่างคุ้มค่า 
       เนื่องจากเป็นการแบ่งปัน (Share) ทรัพยากรทั้งส่วนจัดเก็บข้อมูล แอพพลิเคชั่น และการประมวลผลบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต  จึงเกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of scale) ดังนั้นผู้ให้บริการจึงสามารถนำเสนอบริการแอพพลิเคชั่นในราคาที่ต่ำ กว่ากรณีที่ผู้ใช้จะลงทุนติดตั้งแอพพลิเคชั่นเพื่อใช้งาน 

2. ผู้ใช้มีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีได้มากขึ้น 
โดยอัตราค่าบริการด้านไอทีผ่านสภาพแวดล้อมกลุ่มเมฆ จะต่ำกว่าการลงทุนติดตั้งระบบไอทีเองทั้งหมด จึงมีโอกาสที่จะเข้าถึงเทคโนโลยีที่หลากหลาย ตลอดจนเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้มากกว่าในสภาพแวดล้อมแบบเดิม  ทั้งนี้ในกรณีที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ผู้ให้บริการมีความยืดหยุ่นที่จะนำเทคโนโลยีใหม่มาให้บริการบนสถาปัตยกรรม SOA (Service-oriented architecture)

3. ผู้พัฒนาเทคโนโลยีไอทีมีโอกาสให้นำผลงานออกสู่ตลาดได้มากขึ้น 
       บนสถาปัตยกรรมที่แยกเซิร์ฟเวอร์ในส่วนของแอพพลิเคชั่น ทำให้แอพพลิเคชั่นบนเครือข่ายมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนบนเครือข่าย ผู้ให้บริการจะกำหนดแพลทฟอร์มของแอพพลิเคชั่นบนกลุ่มเมฆของตน เช่นแพลทฟอร์มสำหรับ Google App Engine เพื่อเป็นมาตรฐานสำหรับผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นสามารถนำผลงานไปให้บริการบนกลุ่มเมฆ  โดยการเพิ่มบริการแอพพลิเคชั่นจะไม่กระทบในส่วนของผู้ใช้ 

4. ผู้ให้บริการสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ  
       บริการถูกนำเสนอบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ดังนั้น ผู้ให้บริการสามารถติดตั้งอุปกรณ์ในทำเลที่ตั้งที่ห่างไกลซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่าการตั้งกิจการในย่านธุรกิจ แต่สามารถนำเสนอบริการให้แก่ลูกค้าได้ทั่วโลก อีกทั้งหน่วยจัดเก็บข้อมูล ส่วนประมวลผล และแอพพลิเคชั่น ถูกแยกออกจากส่วนผู้ใช้ ดังนั้นผู้ให้บริการจึงสามารถดูแลรักษาระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ 



น.ส. สโรชา  สุขุมวิราม  รหัสนักศึกษา 53040757
สาขาเทคโนโลยีการจัดการ  วิทยาลัยการบริหารและจัดการ
ชั้นปีที่3  กลุ่มที่2


Assignment#2



เทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานอินเทอร์เน็ต

1. การลบ Cookies ใน เว็บเบราว์เซอร์ Internet Explorer

คุ๊กกี้ (Cookies) คือ ข้อมูลที่ Web page server ทำการบันทึกลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา คุ๊กกี้มีข้อดีคือ ช่วยให้้ไม่เสียเวลา ในกรณีที่เราบันทึกข้อมูลลงบนเพจ หรือลงทะเบียนผลิตภัณฑ์หรือบริการต่างๆ คุ๊กกี้จะช่วยให้ Server จดจำข้อมูล ครั้งต่อไปเมื่อเรากลับไปยังเว็บเพจนั้นอีก จะได้แสดงข้อมูลที่เราร้องขอได้อย่างรวดเร็ว แต่ทว่าการที่มี คุ๊กกี้ จะทำให้ต้องเสียพื้นที่บน Harddisk ไปส่วนหนึ่ง  สำหรับวิธีการเคลียร์คุ๊กกี้ Cookies ในเวบบราวเซอร์ Internet Explore มีวิธีการดังนี้

1.) คลิ๊กที่มุมขวามือของเวบบราวเซอร์ดังรูป  เลื่อนลงมาที่ Internet options 


2.) จะปรากฏหน้าต่าง  Internet Options คลิ๊กที่แถบ General > คลิ๊ก Delete

3.) ต่อจากนั้นจะปรากฏหน้าต่าง Delete Browsing History คลิ๊กเครื่องหมายถูกที่ Cookies  แล้วคลิ๊ก Delete


แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จวิธีการลบ Cookies ในเว็บเบราว์เซอร์ Internet Explorer !!





2. ลบประวัติการท่องเน็ตด้วย Internet Explorer
เว็บเบราว์เซอร์ Internet Explorer  เว็บเบราว์เซอร์อีกตัวหนึ่งที่ใคร ๆ มักจะนิยมใช้ในการท่องเน็ต ทุกครั้งที่มีการท่องเน็ต เวบบราวเซอร์เหล่านี้มักจะบันทึกข้อมูลที่ใช้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตทุกครั้ง เพื่อให้ง่ายและสะดวกในการเปิดใช้งานครั้งต่อ ๆ ไป เพราะมีการเก็บข้อมูลไว้แล้ว เช่น แค่เอาเคอร์เซอร์ไปวางในช่อง url address แล้วพิมพ์ตัวอักษรเพื่อเข้าไปใช้งานเวบไซต์ หากว่าเคยเข้าไปท่องในเวบนี้ผ่าน explorer มาแล้ว มันจะปรากฏชื่อเวบ address ให้เราทันที นี่คือเป็นข้อดีของการเก็บประวัติการท่องเน็ตค่ะ แค่ใครบางคนอาจไม่ชอบใจนักเพราะ เดี๋ยวใคร ๆ จะรู้ว่าเวบที่เราเข้าไปใช้งานเป็นเวบอะไรบ้าง แง่นี้ก็คือเวบที่เข้าไปท่องนั้น อาจจะไม่น่าให้ใครได้รับทราบนัก เช่น เว็บโป๊ต่างๆ  ดังนั้นจึงอยากลบประวัติการท่องเน็ตเพื่อไม่ให้คอมพิวเตอร์จดจำประวัติเหล่านี้

สำหรับการลบประวัติ (History) ของการใช้งานเวบบราวเซอร์ในการท่องนี้ผ่าน Explorer มีขั้นตอนง่ายคือ  มองดูขวามือของเวบบราวเซอร์  จะเจอไปคอนสีฟ้าเล็ก ๆ คลิ๊กหนึ่งครั้งจะปรากฏ panel เลื่อนลงมาเลือก safety  >  Delete  browsing history  หรือ กด Ctrl+shift+Del นั่นเอง


ต่อจากนั้นจะปรากฏหน้าต่างเด้งขึ้นมาให้เราเลือกที่จะลบประวัติในการท่องเน็ตของเรา จะเลือกไม่ลบเมนูใด  ก็แค่เอาเครื่องหมายถูกหน้าหัวข้อออกไป  กำหนดค่าในการลบเรียบร้อยก็คลิ๊ก Deleate แค่นี้ก็เป็นการลบประวัติการท่องเน็ตด้วย Internet Explorer แล้ว




3. บันทึก username และ password แบบง่ายๆ บนเว็บเบราว์เซอร์

ใครมีปัญหาในการจดจำ password และ username ที่สมัครเป็นสมาชิกในเวบแต่ละที่บ้างค่ะ เช่น ลืมรหัสผ่านของ facebook,twitter,เวบบอร์ดที่ตนเป็นสมาชิกอยู่  หากใครเจอปัญหาแบบนี้คงเซ็งกันน่าดู   เนื่องจากดิฉันเจอปัญหานี้บ่อย ๆ เพราะตนขี้ลืม ครั้นจะให้จดไว้ ก็ใช่ที่ หรือหากใช้บันทึกในเวบบราวเซอร์อย่าง firefox ในการบันทึกข้อมูลของ password และ username ก็มีปัญหาว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ไม่ใช่เครื่องส่วนตัว  อีกอย่างหากมีการ format เครื่องคอมพิวเตอร์มาละก็ ข้อมูลต้องโดนลบหมด  อย่างนี้หล่ะก็งานเข้าอีกละ 


แต่แล้วก็ได้มารู้จัก addon ของ firefox ชื่อ lastpass ค่ะ แต่ใช่ว่าจะสามารถใช้งานร่วมกัน firefox ได้อย่างเดียว  ยังสามารถใช้ร่วมกับ บราวเซอร์อื่น ๆ คือ google chrome explorer,และ safari  เวบบราเวซอร์เหล่านี้  เรา ๆ ท่าน ๆ มักนิยมใช้ในการท่องโลกอินเตอร์เน็ต  ดังนั้น หากมีติดบราวเซอร์ไว้ คราวนี้หล่ะ ปัญหาลืม username หรือ password คงหมดสิ้น


Lastpass ให้บริการบันทึก username และ password แบบออนไลน์ ดังนั้นต่อให้เรา format คอมพิวเตอร์ก็ไม่ีปัญหา เพราะข้อมูลดังกล่าวยังคงเก็บไว้ที่เวบ Lastpass นั่นเอง นอกจากนั้น Lastpass ยังสามารถเก็บเวบโปรด ทำหน้าที่เป็น web bookmark ได้เป็นอย่างดี และที่ช่วยงาน webmaster อย่างดิฉันได้ดีมาก คือความสามารถในกา ยังสามารถสร้างฟอร์มเพื่อกรอกข้อมูลแบบอัตโนมัติได้อีกความสามารถหนึ่ง



หลังการดาวน์โหลดติดตั้ง Lastpass โดยจะปรากฏไอคอนเล็ก ๆ อยู่ด้านบน บราวเซอร์ที่ใช้อาจจะเป็น firefox ,explorer,safari หรือ chrome  ทุกครั้งที่ต้องการบันทึก username และ password ของเวบไซต์ทีเป็นสมาชิก ก็แค่บันทึกข้อมูลลงไป แค่เนี้ยการท่องเวบก็เป็นเรื่องง่าย ๆ ซะแล้ว    อ่านข้อมลเพิ่มเติมและดาวน์โหลดมาใช้งานได้ที่ Lastpass

การใช้งาน Lastpass เพื่อบันทึก account และ รหัสผ่านในเว็บไซต์ :





น.ส. สโรชา  สุขุมวิราม  รหัสนักศึกษา 53040757
สาขาเทคโนโลยีการจัดการ  วิทยาลัยการบริหารและจัดการ
ชั้นปีที่3  กลุ่มที่2